02 กราฟ : ความคิด : ชีวิต : ความฝัน | ฆฤพร สาตราภัย (Graph Cafe)
Thai message 02
กราฟ : ความคิด : ชีวิต : ความฝัน | ฆฤพร สาตราภัย (Graph Cafe)
พูดและคุย : here sakont
ถ่ายภาพ : ฆฤพร สาตราภัย
...
การมีร้านกาแฟเล็กๆเจ๋งๆร้านนึงในเมืองท่องเที่ยว นับว่าเป็นความฝันของคนหลายๆคน บางคนทำความฝันให้เป็นความจริง บางคนก็ทำความฝันให้เป็นความฝัน แต่บางคน นอกจากจะลงมือทำความฝันให้เป็นจริงแล้ว เขายังทำความจริงให้เป็นความจริงที่ลึกลงไปอีก
.
ลึกไปถึงรายละเอียดของกาแฟ ที่ไม่ใช่แค่ความสวยของร้าน วัสดุตกแต่ง หรือรสชาติของกาแฟ แต่ลึกลงไปถึงคนปลูกกาแฟ สถานที่ปลูกกาแฟ เขาไปเสพภูมิอากาศของสวนกาแฟ ดื่มชงกาแฟร่วมกับชาวบ้าน ไปร่วมรับรู้ทั้งระบบของกาแฟ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
.
เพื่อที่จะทำความเข้าใจเอามาคิดค้น และพัฒนาระบบกาแฟทั้งระบบ ด้วยสมองและสองมือ เขาสามารถทำเรื่องยิ่งใหญ่ด้วยวิธีเล็กๆและเรียบง่าย พยายามโดยไม่ใช้ความพยายาม แต่ลงมือทำอย่างสนุกสนานไปกับการใช้ชีวิต โดยเป็นเนื้อเดียวกันระหว่างความจริงและความฝัน
...
![]() |
กาแฟแต่ละแก้วมีรายละเอียดที่มากกว่าเรื่องรสชาติ |
+ ใช้ชีวิตแบบไหนอย่างไร อะไรที่ทำให้เป็นตัวคุณในปัจจุบันนี้?
ช่วงแรกคือการตามหาตัวตน ค้นหาศักยภาพของตัวเอง อยากด้วยการทดลองทำ มีอะไรน่าสนใจอยากทำก็ทำดู เคยอยากทำงานศิลปะ อยากวาดภาพก็วาดเลย แต่เรามองข้อเท็จจริงด้วยว่า เราจะยืนอยู่แล้วเดินไปได้ไหม เราจะพึ่งตัวเองได้ไหม มันจะเป็นอาชีพเลี้ยงปากท้องเรา และทำให้เราเป็นอิสระได้จริงไหม
.
เพราะจะแค่เป็นอาชีพหาเงิน เราก็ทำมันอยู่แล้ว เป็นวิศวกรโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เงินเดือนมันครึ่งแสนเมื่อปี 2545 แล้ว และถ้าจะมาทำแบบที่ชอบเลย เป็นศิลปินผลิตงาน แต่อยู่ได้จริงไหม อันนี้ก็ต้องคิด ก็เลยเริ่มฝึกทำเซรามิกควบคู่กับงานเอนจิเนียร์ ห้าปีที่ฝึกมาคิดว่าพอแล้ว เลยลาออกมาปั้นเซรามิกอยู่หนึ่งปีเต็ม
.
ปั้นเผางานทุกวัน นับเดือน นับปี เจ๊งไปไม่รอด เพราะไม่คิดเรื่องการตลาดเลย เอาแต่ปั้น คิดว่างานมันมีฟังก์ชั่นใช้ประโยชน์ได้ ไม่น่ายากที่จะขาย แต่งานปั้นมือใช้เวลา ราคาที่ตั้งก็ถือว่าแพงกว่าระบบอุตสาหกรรม งานแฮนด์เมดถ้วยกาแฟใบนึงร้อยห้าสิบบาท มันก็ถือว่าแพง ยิ่งในยุคนั้นที่งานแฮนด์เมดยังไม่มาแบบยุคนี้
.
ครบปีเงินหมด ไปต่อไม่ได้ ก็ต้องมาตั้งหลักใหม่ กลับไปทำงานเอ็นจิเนียร์เหมือนเดิม
กลับมาทำงานรอบสอง เลยอยากหาความรู้ด้านที่เราสนใจ มีอาจารย์คนนึงเป็นรองคณบดีศิลปกรรม ชวนไปเรียนต่อโทด้านเซรามิก ก็ตั้งใจจะสอบ แต่พอถึงเวลาสมัคร หลักสูตรนี้ยังไม่เสร็จปีนี้
.
บังเอิญมีอีกคณะนึง หลักสูตรผู้ประกอบการ เป็นป.โท ที่ไม่เหมือนหลักสูตร MBA หลักสูตรนี้เรียกว่า SME เป็นหลักสูตรที่มีวิชาที่น่าสนใจมาก มีเรื่องการเงิน บัญชี มีวิชาการเป็นผู้ประกอบการใหม่ วิชาการตลาด วิชาอีคอมเมิร์ซ วิชาแปลกๆ ที่ผู้ประกอบการควรรู้ วิชาการสร้างแบรนด์
เฮ้ยๆ แม่งเจ๋งดีว่ะ เราไม่เคยสนใจมันเลย แต่แม่งโคตรจำเป็นเลยว่ะ เหมือนเป็นเครื่องมือที่เราขาด คือเจอเลยว่าคนแบบเราไม่น่าจะสนใจเรื่องพวกนี้เองแต่แรก แต่หลักสูตรนี้มันเหมือนให้ไอเดียเอาไปต่อยอด ผมเลยสมัครสอบเลย"ใครๆก็หาไอเดียรูปแบบร้านใหม่ๆ แต่เราอยากถอยกลับไปหาคนปลูก ไปเรียนรู้วิธีการแปรรูป ว่ามันจะทำให้ดีขึ้นยังไง"
สองปีเรียนกับทำงาน ก็เริ่มเที่ยวแบ็กแพคไปด้วย ไปอินเดีย ไปเนปาล จีน เวียดนาม ลาว
.
ตอนไปเนปาล ไปเจอร้านทำขนมปังกับขายชาร้านเล็ก ในเมืองโพคารา ร้านน่ารักและดูมีความสุขมาก คนทำแฮปปี้ คนมากินนั่งคุยกัน มันทำให้เราอินมาก เลยค่อยๆ ทบทวนดูว่า เออ เราชอบบรรยากาศแบบนี้ว่ะ คนทำขนมปังชงชา แม่งเหมือนไม่ได้ทำงานเลยว่ะ ใช้ชีวิตแบบนี้แล้วอยู่ได้แม่งโคตรเจ๋งเลย
เราเปลี่ยนมุมมองใหม่ได้ตลอดเวลา |
เรียนจบทำงานอีกปีนึงก็ลาออกเลย
ไปเปิดร้านคาเฟ่เล็กๆ ในเมืองที่เราคิดว่ามีศักยภาพในอนาคตและยังไม่มา คือสังขละบุรี ตอนนั้นยังมีความดิบอยู่มาก มีแบ็กแพคตลอด แต่คนไทยเที่ยวน้อย ก็เลยเปิดทดลองดู ทำตามกำลัง งบประมาณน้อย คิดเยอะๆ
.
เริ่มคิดเรื่องการตลาดนำ แต่ยังมีจุดยืนแบบที่ตัวเองเป็น พรีเซ้นท์เมือง ให้ไอเดียการเที่ยว การเดินทาง ทำกาแฟพัฒนาไปด้วย แล้วก็มีเกสเฮาส์เพิ่มขึ้น มันก็ลงตัว
ถือว่าเป็นช่วงที่ตั้งหลักปักจุดยืน ยิ่งทำก็ยิ่งชอบในเรื่องกาแฟ เลยพัฒนามาตลอด
.
เพื่อนอิตาเลี่ยนก็สอนชงสไตล์อิตาเลี่ยน คนนิวซีแลนด์ก็สอนทำแฟลท์ไวท์ ร้านผมเลยมีเมนูสเปเชียล ที่ชื่อเมนูไม่เคยมีใครรู้จัก
.
ต่อมาเริ่มคิดเรื่องระยะยาว วางทิศทางให้ชัดเจนขึ้น เลยขายเกสเฮาส์และร้านที่สังขละบุรี แล้วมาเริ่มที่เชียงใหม่ มันท้าทายมาก เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองกาแฟ
ผมมาแบบตั้งเป้าเลย ถ้าไม่ติดท็อปสิบไม่มา พยายามคิดเยอะมาก ด้วยเงินทุนน้อยนิด เราลดทอนและคิดให้เยอะมาก ไม่มีเวลาที่จะไต่อันดับ เราต้องเปรี้ยงเดียวเลย
.
ตอนนั้นมันมีเทรนด์กาแฟที่แข็งแรงแล้ว ในเรื่องกาแฟที่เชียงใหม่ มันท้าทายมาก เราเริ่มคิดเรื่องความยั่งยืน และการก้าวเล็กๆ เร็วๆ แรงๆ เพราะไม่มีกำลังเยอะ
เราเริ่มทำอะไรใหม่ๆ นำคนอื่นตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะอยากขายดีหรือร่ำรวยนะ แค่เป็นเรื่องที่ชอบและเอาตัวรอดล้วนๆ
.
เพราะต้องยอมรับว่ามีการแข่งขันกันมาก มีคนที่มาเร็วจบเร็วเยอะ แต่เรารักมันแล้ว เราเคยตั้งเป้าแค่วันละแก้วมาแล้ว ผ่านเรื่องลำบากมาแล้ว และตอนนี้ใครๆก็หาไอเดียรูปแบบร้านใหม่ๆ แต่เราอยากถอยกลับไปหาคนปลูก ไปเรียนรู้วิธีการแปรรูป ว่ามันจะทำให้ดีขึ้นยังไง
![]() |
ความงามของสวนกาแฟ |
ตอนนี้เลยมองว่า กาแฟที่ทำอยู่เรามองเป็นระบบทั้งสาย ไม่ใช่แค่หน้าร้านหรือโรงคั่ว เรามองแบบอยากทำให้ทั้งระบบมันดีขึ้น เลยทำโมเดลเล็กๆขึ้น โดยเชื่อมโยงคนปลูก ครอบครัวที่เราคิดว่าเขาหัวก้าวหน้า จับมือและร่วมกันพัฒนาการปลูก การแปรรูป แล้วเอามาคั่วกับโรงคั่วเล็กๆที่มีศักยภาพ
ปัจจุบันเลยสนุกกับเรื่องกาแฟแบบนี้
.
+ ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่บ้าง โอเคมั้ยกับชีวิตที่เชียงใหม่?
ทำร้าน GRAPH CAFE และ GRAPH TABLE สองร้านนี้เป็นหลัก เรื่องกาแฟและอาหาร ส่วนงานอื่นๆ เป็นวาระโอกาสที่มี ที่ทำอยู่เป็นโปรเจคๆ คือ รีโนเวทร้านและโรงแรม มีรับทำแบรนด์ ทั้งสร้างแบรนด์ใหม่และรีแบรนด์เก่า ที่ผ่านมาก็มีแบรนด์จิลเวอรรี่ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ ส่วนอื่นๆ ก็ที่ปรึกษาและออกแบบคาเฟ่ใหม่ๆ
.
ชีวิตที่เชียงใหม่ดีเหมาะกับเรา ไม่กว้างและเล็กเกิน มีพื้นที่ที่เราไปต่อได้ มีวัตถุดิบที่เพียงพอ มีเพื่อน มีชีวิตที่ได้ทำงานทำกิจกรรมที่ชอบ
"ตอนไปเนปาล ไปเจอร้านทำขนมปังกับขายชาร้านเล็ก ในเมืองโพคารา ร้านน่ารักและดูมีความสุขมาก คนทำแฮปปี้ คนมากินนั่งคุยกัน มันทำให้เราอินมาก"+ พื้นฐานของการเป็นวิศวกร ที่เคยทำงานเป็นระบบในโรงงานอุตสาหกรรม มีผลกับวิธีคิดในทุกวันนี้มั้ย?
งานหลักของผมตอนเป็นวิศวกรคือ ฝ่ายวางแผน ผมเลยมีมุมมองที่คิดเป็นขั้นตอน ทุกเรื่องในการทำงาน ต้องมีแผนที่ดี ถ้าเรามีแผนที่ดี เราทำตามแผน เราไม่ต้องกังวลหรือเสี่ยงกับอนาคต หรือที่เรียกว่าไปตายเอาดาบหน้า
.
ถ้าเราทำธุรกิจสักอย่าง ก่อนลงมือ คิดเลยแผนธุรกิจ การตัดสินใจทำหรือไม่ควรทำ ไม่ได้ใช้ความรู้สึก แต่มันอยู่ที่ตัวเลขว่าคุ้มไหม เสี่ยงไหม ถ้าเราอยากทำ ถ้ามันเสี่ยง เรามีแผนการยังไงบ้าง ก็พยายามคิดล่วงหน้า อุปสรรคต่างๆที่อาจเจอ จำลองมันดู ไม่เสียหาย
.
ถ้าลงมือลุยโดยไม่มีแผนที่ดี มันเสี่ยงเกินไป ปัญหาที่คาดไม่ถึงมันมีอยู่แล้ว แต่มันก็จะเป็นส่วนน้อยแล้วที่เราคาดไม่ถึงจริงๆ ผมพยายามบาลานซ์สองเรื่องคือ ข้อเท็จจริงกับความชอบ ส่วนใหญ่เอาความชอบเป็นตัวตั้ง แล้วหาโอกาสและวางแผนที่จะทำให้มันเกิดให้ได้ มันอาจจะไม่ได้ดีมาก
.
เพราะเราไม่ใช่คนทำธุรกิจเป็นหลัก เราเอาความสุขที่เราได้ทำในสิ่งที่รักและคิดกับมัน วางแผนมันให้ครอบคลุมที่สุด แล้วลุยเลย
![]() |
วิธีชงกาแฟก็สำคัญ แต่ทัศนะคติในการทำร้านก็สำคัญไม่น้อยไปกว่า |
ผมว่าแผนที่ดีคือมันทำให้เราเห็นภาพรวม มันควบคุมเรื่องเวลาและงบประมาณเราได้ มันทำให้เราตอบคนอื่นชัด บางทีมีคนมาทักว่าไม่ดีมั้งทำแบบนี้ แต่เราคิดกับมันแล้ว วิเคราะห์แล้ว วางแผนแล้วชัดเจน มันจะทำให้เรามั่นคงกับสิ่งที่เราทำ
.
เพราะคนวิจารณ์หรือคอมเมนท์ เขาไม่ได้มานั่งมองนั่งคิดกะเรา แต่ถ้าเราไม่ชัดเจนไม่มีข้อมูล เราอาจจะแกว่ง และสับสน สุดท้ายก็อาจจะหยุดเพราะเราไม่มีระบบวิธีคิดที่ชัดเจน
.
+ จากวิศวกร มาเขียนภาพ เขียนบทกวี ถ่ายภาพ ทำเซรามิค นักเดินทาง ทำเกสเฮาส์ ทำร้านกาแฟ ทำร้านอาหาร นี่เป็นส่วนผสมของชีวิตที่เราพอใจมั้ย ยังมีอะไรที่เราอยากทำอีก?
555 เหมือนทำสวนผสมผสาน ได้ลองปลูกนั้นนี่ดู บางสิ่งได้เก็บเกี่ยวเลย บางสิ่งเป็นเรื่องการเรียนรู้ ถ้าชอบก็ทำต่อ ทำลึกขึ้น อย่างเรื่องวาด ตอนนี้ก็น้อยลง หันมาถ่ายรูป ถ่ายในมุมมองเรา มันครีเอทได้เหมือนกัน ทุกอย่างมีลายเซ็นได้ถ้าเราทำมันจนชัด คนมาดูบอกได้ว่าเป็นงานเรา มันก็แฮปปี้ ถ้าทำได้แบบที่เป็นตัวเองแล้วเขาชอบ
จริงๆ ชอบงานศิลปะ ซึ่งผมคิดว่ามีหลายทางที่จะแสดงออก เราก็เอามาใส่ในงานที่เราหากิน ในอาหาร ในการทำกาแฟ ได้เอามารองรับไอเดียที่เรามี สื่อสารได้ชัดเจน มีพลังที่เราใส่ลงไป ที่อยากทำคือเรื่องของการแชร์ไอเดีย วิธีคิด หรือการพึ่งพาตัวเอง"มันมีแรงบันดาลใจด้วยตลอดกับเรื่องที่เราสนใจ แรงผลักดันนี้มันทำให้เราก้าวข้ามสิ่งที่เรากลัว"
.
เริ่มจากเรื่องที่เราทำอยู่และคนสนใจ ตอนนี้ก็เริ่มสอน มีเวิร์คช้อปกาแฟ คนก็มาเรียนกัน แต่เราไม่ได้อยากสอนแบบทั่วไป เราอยากให้แนวคิดด้วย ไม่ใช่เรื่อง know how อย่างเดียว อยากให้เอาไปต่อยอดได้หรือมีวิธีคิดที่ชัด หรือการแชร์เรื่องการพึ่งตัวเองที่แบบยั่งยืน อันนี้ที่อยากทำ
.
ส่วนงานที่เป็นงานจริงๆ อยากพัฒนาสิ่งที่ทำให้ลึกขึ้น เช่นเรื่องอาหาร อยากทำเรื่องอาหารที่หันมาสนใจวัตถุดิบท้องถิ่น ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่มันเป็นอาหารเพื่อท้องถิ่นส่วนรวมด้วย ฟังดูยิ่งใหญ่ แต่มันทำได้ในระบบปัจเจก
![]() |
คนรุ่นใหม่สนใจการทำกาแฟจริงจังมากขึ้น |
+ จุดไหนของชีวิตที่คิดว่า มันเป็นจุดเปลี่ยนของเรา จนกลายเป็นเราในวันนี้ ต้องอาศัยความกล้าความเชื่อมั่นขนาดไหนในภาวะนั้น?
คือมีความเชื่ออยู่อย่างว่า คนเราควรรู้จักและเห็นศักยภาพในตัวเอง บางคนโชคดีมีพื้นฐานที่ดีที่ส่งเสริมให้เจอเร็ว แต่เราใช้เวลา และครอบครัวไม่สนับสนุน เราเลยรอเวลาที่เรารับผิดชอบตัวเองได้ ลงมือทำมันตั้งแต่เรียนจบ
.
ทำงานปีแรก วางแผนเลย ต้องออกไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบภายใน 5 ปี เลยไปฝึกทำเซรามิก แต่ผ่านมารอบแรกล้มเหลว เลยต้องกลับไปใหม่ ทำงานในระบบใหม่อีก 5 ปี ออกมารอบสองจึงแข็งแกร่งกว่าเดิม คือมันมีแรงบันดาลใจด้วยตลอดกับเรื่องที่เราสนใจ
.
แรงผลักดันนี้มันทำให้เราก้าวข้ามสิ่งที่เรากลัว ขาดอะไรก็หา พอเรามีเครื่องมือที่ครบ มันเหมือนปลดล็อกในสิ่งที่เราเคยพลาด ก็เดินต่อลุยต่อ คือกลัวการไม่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ มากกว่าการกลัวความล้มเหลว ยอมล้มเหลวหรือได้ทดลองทำ ดีกว่าปล่อยชีวิตให้เรื่อยเปื่อยตามระบบ อันนี้น่ากลัวกว่า
"ชาวบ้านปลูกกาแฟแต่ไม่ได้กินกาแฟตัวเอง ส่วนใหญ่กินกาแฟ 3 in 1 เขาจะทำกาแฟให้ดีได้ยังไง ในเมื่อไม่รู้จักกาแฟตัวเอง"+ ใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร มีผลกับการทำงานของคุณอย่างไรบ้าง?
สถานที่ ผู้คน เรื่องราวที่ผ่านแต่ละวัน มันเป็นเรื่องที่เป็นพื้นฐานชีวิตและงาน ไม่แยกแยะ เช่น ไปเที่ยวไปทำงานไปพักผ่อน มันเป็นเรื่องเดียวกัน เลิกเที่ยวแบบไปพักผ่อนเฉยๆมานานแล้ว ไปเพื่อไปดู ไปเรียนรู้ ไปเอาวัตถุดิบ เราเติบโตได้ไหม มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากกว่า งานและชีวิตเลยเป็นเรื่องเดียวกัน
.
งานอดิเรกที่ทำเลยคือ ถ่ายรูป บางทีมันเหมือนเวลาคิดอะไรไม่ออกก็ถ่ายรูป แค่เดินไปเดินมา ได้มองได้สังเกตการณ์รอบไปตัว มันก็ทำให้เกิดความคิดได้ ได้แรงบันดาลใจผ่านมุมมองจากกล้อง อันนี้ได้บ่อย แสง จังหวะ บางทีมันธรรมดามากกับสถานที่นึง แต่พอแสงมาพอดีภาพมันมีชีวิตขึ้นมาเลย
.
อันนี้เราเก็บมาได้ คนเห็นก็เกิดแรงบันดาลใจต่อ เป็นแรงบันดาลใจที่เกิดจากเรื่องง่ายๆ จากสิ่งที่ไม่มีค่า มันมีค่าขึ้นมาเลย
![]() |
ผลผลิตจากยอดดอย |
+ สิ่งที่สะดุดตาเวลาดูเพจของ GRAPH CAFE คือภาพถ่าย ตัวอักษรและกราฟฟิคบนสินค้า มันดูน่าจับต้อง มีรายละเอียดน่าเก็บสะสม มีวิธีคิดแรงบันดาลใจในการออกแบบหรือการถ่ายภาพยังไงบ้าง?
พอยท์หลักเลย คือผมคิดว่า ผมจะเอาชนะสิ่งที่เราไม่มีแต่คนอื่นมีได้ยังไง ผมเลยเอาสิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือ ธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนปฎิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะรวยมากหรือจนมากแค่ไหน เราเอามาขยายให้คนเห็นความงาม พอพอยท์เป็นจุดนี้ ผมว่ามันตรงใจคน
.
ผมไม่ค่อยหยิบอะไรที่มันมีค่าเชิงวัตถุมาขาย เพราะเราไม่มีมาก เราเอาน้อยๆ เอานิ่งๆ อันนี้คือเรื่องยากที่จะมองเห็น ผมว่า ถ้าเราเชื่อว่ามีความงามในทุกสิ่ง ถ้าเรามองเห็น แม้แต่คนติดคุกก็ควรเห็นความงามรอบตัว ผมว่าคิดได้ตรงจุดนี้ เราจะสร้างงานได้เยอะมาก
"คนทำขนมปังชงชา แม่งเหมือนไม่ได้ทำงานเลยว่ะ ใช้ชีวิตแบบนี้แล้วอยู่ได้แม่งโคตรเจ๋งเลย"ไม่ต้องบินไปไกล แค่เราอยู่นิ่งๆ ยังทำได้ขนาดนี้ มันเอาชนะใจคนได้ ผมเลยเอาตรงจุดนี้มาทำงาน มีหลายคนพยายามทำแบบนี้ แต่มันดูปลอมๆ เพราะมันไม่ได้ผ่านความคิดความเชื่อ ไม่มีโพรเสทมาก่อน มันก็ได้แค่ผิวเผิน ภาพมันต้องชัดตั้งแต่เรากดชัตเตอร์แล้ว เราเอามาทำต่อได้ไม่ยาก ใส่ความคิด ใส่ตัวอักษรที่ชัดเจนขึ้น นิ่งๆ ง่ายๆ คนก็น่าจะสัมผัสได้ และต้องจับใจเราก่อนด้วย
.
ที่บอกว่าเอาชนะคนที่มีมาก คือเราไม่ค่อยมีเลยไง เราเลยหยิบเรื่องง่ายๆ ที่คนมองไม่เห็นมาขยาย และผมมีไอเดียอีกอย่างว่า เราไม่อยากขายของผ่านการชวนเชื่อ บอกขายสิ่งที่เราขายตรงๆ มันไม่ควรเป็นแบบนั้น เราควรใส่ความคิดหรือมุมมองที่มีประโยชน์ให้คนอ่านได้อะไรบ้าง อย่างน้อยก็ได้ทบทวน ได้แรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง
.
มันไม่ใช่ตั้งใจจะขายท่าเดียว เราขายบริบทรอบๆ ด้วย ชุมชนที่เราอยู่ ซัพพลายเออร์ที่เราดิวด้วย เรามองเป็นเรื่องบริบทโดยรวม เราโตไปคนเดียวไม่สนุกเลย เออ เราอยู่ตรงนี้ แถวนี้มีอะไรน่าสนใจไหม ร้านนั้นทำอะไร คนนี้น่าสนใจยังไง พอมันเห็นภาพรวมๆ น่าสนใจ มันก็ดูมีพลังดึงดูดผู้คน คนก็มา ไม่ได้มาแค่หาเราที่เดียว ยังไปดูสิ่งที่เราแนะนำ มันน่าจะน่ารักกว่า
![]() |
ผลเชอรี่ที่รอการแปรรูปเป็นเมล็ดกาแฟ |
+ หนังสือ หนัง เพลง มีส่วนที่ทำให้คุณเปลี่ยนแปลงชีวิตยังไงบ้าง?
หนังสือมีบ้างแต่ก่อน ตอนนี้น้อยลง ที่ชอบเลยและมีผลเลยคือ เจ้าชายน้อย เล่มนี้ทำให้ชอบการเดินทาง แล้วก็มีโจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล อันนี้ทำให้เริ่มคิดว่า เราจะเลือกอย่างไหนระหว่างใช้ชีวิตหากินแบบตามระบบ หรือออกไปเรียนรู้ตัวตนและโลกกว้างๆ
.
ยังมีอีกเล่มคือ เฒ่าผจญทะเล อันนี้เป็นวรรณกรรมที่ชอบมาก เพราะเป็นเรื่องด้านในล้วนๆ การเอาชนะข้างนอกกับข้างใน มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น ส่วนเพลงชอบงานของพี่เอี้ยว ณ ปานนั้น มีหลายๆ เพลงที่เปลี่ยนมุมมองชีวิต อย่างเพลงแมงสาบกับนกในกรงทอง ที่บอกว่า สวยๆ ไม่มีเสรีภาพ แบบนกหรืออยากเป็นกะจั๊วที่เราจะไว้ใจในปีกกระจอกๆนี้
.
หรือเพลงนับดาวทะเล อีกเพลงของพี่เอี้ยว มีท่อนนึงว่า "ก็เคยฟังคนมากมายแม้ตายก็ยังใฝ่หา แสงดาวแห่งศรัทธา จะพร่างพรายแสงให้คนทุกคน ดาวที่จรจากฟ้า บอกอย่าหวังเลยน้ำคำคน อุดมการณ์วกวนตลอดเวลา"
"เราเชื่อว่ามีความงามในทุกสิ่ง ถ้าเรามองเห็น แม้แต่คนติดคุกก็ควรเห็นความงามรอบตัว"เพลงนี้เหมือนมีคนบอกว่าแกแต่งล้อกับเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา มันเป็นความพยายามเขียนในมุมกลับของสังคม มองว่าแกเป็นศิลปินจริงๆ อันนี้มันเกินกว่างานเพลงแล้ว ปัจจุบันยังได้คุยกับพี่เอี้ยวอยู่ วันนี้แกเขียนเพลงที่ลึกซึ้ง ในมุมมองด้านในที่จะมีคนเขียนแบบแก ประทับใจครับ
.
ส่วนหนังดูเพื่อบันเทิงและแรงบันดาลใจมากกว่า มีเรื่องล่าสุด PK เพิ่งฉายเมื่อปี 2014 เป็นหนังอินเดียที่ทำออกมาดีมาก เล่าเรื่องความเชื่อต่างๆ ของทุกศาสนา หนังตลกร้ายและลึกซึ้งมาก เป็นหนังที่เสียดสีทุกวงการ ทุกความเชื่อ ทบทวนความคิดของสังคม ตั้งคำถามในเรื่องที่เราก็ต่างหลงลืมมันไป ถือว่าเป็นหนังที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลา ตลกร้ายมากๆ
![]() |
พื้นที่ปลูกกาแฟในระดับความสูงที่ 1,400 ม. จากระดับน้ำทะเล |
+ ไหนๆตอนนี้ก็อยู่บนดอยแล้ว ลองเล่าให้ฟังหน่อยว่ามาทำอะไร เจออะไรประทับใจที่นั่นบ้าง?
ช่วงปลายฝนต้นหนาว เดือนตุลาเป็นต้นไป ฤดูนี้ชาวบ้านเริ่มเก็บกาแฟ และเริ่มแปรรูปไปเรื่อยๆ จนกุมภาปีหน้า ถือว่าเรามาเรียนรู้จักกาแฟมากขึ้น มันมีรายละเอียดเกี่ยวกับการปลูก เราก็พยายามทำความเข้าใจ ปัญหาที่เกิดขึ้น พวกโรค แมลง ฤดูกาล มันส่งผลเสียหายให้กาแฟยังไงบ้าง และเขาแก้มันยังไง
.
บางสวนใส่ยา บางสวนใช้สมุนไพร เราจะได้เข้าใจ ในเรื่องของคุณภาพกาแฟมากขึ้น ช่วงนี้ก็ถือว่าเก็บข้อมูล ส่วนอีกเรื่องคือ ชาวบ้านปลูกกาแฟแต่ไม่ได้กินกาแฟตัวเอง ส่วนใหญ่กินกาแฟ 3 in 1 เขาจะทำกาแฟให้ดีได้ยังไง ในเมื่อไม่รู้จักกาแฟตัวเอง
.
ผมเลยเอากาแฟของคนที่ปลูกจากฤดูกาลที่แล้ว คั่วมาแล้วเอามาชงให้คนปลูกชิม มีตัวอื่นๆ ด้วย หลายๆแหล่ง เพื่อให้เขาได้ลองดูว่า มันแตกต่างกันไหม อันนี้น่าสนใจมาก เพราะเขาจะได้เข้าใจว่า รสชาติที่ดี มันดียังไง และจะได้เริ่มแก้ไขตั้งแต่การเก็บ การแยกแยะของเสีย ทำให้สะอาด ทุกขั้นตอน ผลลัพธ์มันจะดีขึ้น
.
ระยะยาวเขาก็ไม่ต้องโดนกดราคา เพราะของเขาดีกว่าคนปลูกที่ทำส่งๆ ในภาวะที่ตลาดกาแฟตก ของที่ดีจะมีคนซื้อก่อน และราคาก็ได้ดีด้วย เพราะส่วนใหญ่ไม่เน้นคุณภาพ
![]() |
ลานตากกาแฟบนดอย |
ประทับใจเรื่องการแลกเปลี่ยนมุมมอง ของคนปลูกกับคนทำร้าน ต่างคนต่างทำไปโดยไม่ได้เห็น ชาวบ้านไม่เคยเข้าร้านแบบที่ใช้เครื่องชง แต่เราก็ไม่เคยเห็นต้นกาแฟ ต่อไปจะต้องมีการแลกเปลี่ยนเพื่อให้รู้ความต้องการของกันและกัน
.
ที่สำคัญครอบครัวที่ปลูกกาแฟที่เราซื้อ กินกาแฟดริปเป็นแล้ว เข้าใจมากขึ้นว่ารสชาติกาแฟ มีรสชาติที่หลากหลายและไม่ขมตามความเข้าใจเดิมๆ มันเฝื่อนมันฝาดเพราะอะไร มีของเสียปนอยู่ใช่ไหม นี้คือทำให้คนปลูกเข้าใจคนกินมากขึ้น ก็เริ่มปรับปรุงที่พอจะทำได้ ทำให้สะอาด ทำให้ของเสียปนน้อยที่สุด คัดไซส์ที่ใกล้เคียงกันที่สุด มันก็พัฒนาให้กาแฟมีคุณภาพที่ดีขึ้นแน่นอน
.
+ ช่วยนิยามคำว่า"กาแฟ" "ร้านกาแฟ" "ร้านอาหาร" ในความหมายที่ควรจะเป็นของคุณ?
มันมีวิธีคิดที่เรียกว่า “องค์รวม” ผมอาจจะโชคร้ายหน่อย ตรงที่คิดอะไรแล้วไม่จบตรงจุดนั้น มันเลยไม่ได้โฟกัสที่ธุรกิจ หรือการขายอย่างเดียว เราอยากรู้ที่มาที่ไป เรามองเป็นภาพรวมๆ
.
โดยเฉพาะร้านกาแฟ บางทีมันเลี่ยงไม่ได้ คนกินไล่มาแล้ว ลงลึกถึงโรงคั่ว แหล่งปลูก มีคนพยายามชวนผมขึ้นดอยไปดูสวนกาแฟมาหลายปี ตอนนั้นมันเป็นเทรนด์ที่คนทำต้องไปดูแหล่งปลูก ผมก็ปฏิเสธตลอดนะ ไม่อยากไป รู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลา
.
แต่พอเราทำไป จู่ๆ เราอยากรู้จักแหล่งปลูกมากขึ้น ก็เริ่มเซอเวย์ แต่พอมาจริงๆ มันไม่จบแค่นั้น มันมีเรื่องการพัฒนาทัศนคติต่อคนปลูกด้วย อยากแลกเปลี่ยนต่อเนื่อง หวังว่าจะเป็นระยะยาว ไม่ใช่แค่มาดูๆ
![]() |
คนปลูกกาแฟกำลังเก็บผลกาแฟตอนเช้า |
เพราะฉะนั้นมันเหมือนเรามองแบบองค์รวม มันเชื่อมโยงถึงกัน ถ้ามองกาแฟ ผมไม่สนใจร้านสวยๆ แล้ว ผมชอบ ทัศนคติของคนทำมากกว่า มองกาแฟเป็นระบบ ถ้าจะแข่งกันว่าร้านเรามีกาแฟนอกจากประเทศนู้นนี่นั้น ไม่แปลกไง เพราะคุณมีเงิน จิ้มซื้อได้เลย เราก็เคยอยากเป็น
.
แต่พอมาคิดดูดีๆ เรามาพัฒนาชีวิตและความคิดคนปลูกมันยั่งยืนกว่า เอาโลคอลนี่แหละ พัฒนาต่อเนื่องให้ดี น่าภูมิใจกว่าไหม สร้างเราสร้างเขาด้วย สร้างคนหลายๆ คน ตอนนี้ก็เริ่มมีน้องๆ มาทำที่ร้านมากขึ้น เริ่มเป็นทีม ทีมที่มีทัศนคติที่ดีด้วย ไม่ใช่จะมาเอาแต่ค่าแรง เขาคิดเป็น กินกาแฟเป็น มันเจ๋งมากที่จะสร้างคนไปด้วยกัน
.
+ ถ้าเปรียบเทียบกับกาแฟ ชีวิตของคุณคือกาแฟแบบไหน มีรสชาติอย่างไร?
ผมเคยเขียนไว้ครั้งหนึ่ง ตอนที่เราเจอปัญหาหรืออะไรสักอย่าง life is like an espresso. Behind the aroma lies the bitter sweet. ชีวิตคล้ายเอสเพรสโซ่ หลังความขมคือความหอมหวาน น่าจะยังคงรู้สึกอย่างนั้น
.
ตอนนั้นยังเพิ่งเริ่มต้นทำกาแฟ แต่ตอนนี้จริงๆ เอสเพรสโซ่มันมีหลายรสในช็อตนึง มันยิ่งมากกว่าหวานหรือขม มันมีเปรี้ยว มีความละมุนมากมายมากขึ้น
![]() |
ระหว่างการไปสวนกาแฟที่ยอดดอย |
+ อยากบอกอะไรกับคนอายุ 20 และคนอายุ 30 พวกเขาควรจะทำอะไร คิดอะไร อะไรที่เราอยากทำแล้วไม่ได้ทำในอายุนั้น?
ถ้าสำหรับคนอายุ 20 ผมคุยเสมอๆ กับคนรุ่นนี้ อยากบอกว่า อยากทำอะไรทำเลย แม้ว่ายังไม่ชัด ไม่ต้องกลัวล้มเหลว และมันจะไม่จบแค่สิ่งนั้นแน่ๆ ทดลองทำเลย จะได้รู้ปัญหา มีแรงก็ลุยเลย เพราะเริ่มก่อนได้เปรียบ ถ้ามีอะไรผิดพลาด มันไม่เจ็บหนักเลย มันง่ายมาก ควรจะได้ลองดูด้วยซ้ำว่าผิดพลาดแล้วรู้สึกไง มันมีค่าพอๆกับความสำเร็จนะ ขออย่างเดียว อย่าทำๆ หยุดๆ
.
อาจจะสรุปว่า
1. ลุยเลยถ้ามีความอยากทำ
2. จำความรู้สึกแรกไว้ให้ดี เพราะเวลาแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
3. ทิ้งความกลัวในวัยแบบนี้
4. อย่าคาดหวังกับความสำเร็จ เพราะยังมันยังไม่ใช่ในวัยแบบนี้
.
5. หาคนนำทางสักคน ไอดอลหรือใครสักคนที่เป็นแนวทาง
6. อย่าโทษคนอื่น แม้ครอบครัว สร้างความเชื่อที่ดีให้ตัวเอง
7. อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น มันจะทำให้ตัวเองด้อยกว่าเสมอๆ
8. ไม่ต้องคาดหวังในอนาคตมาก เพราะมันอีกไกล
9. สนุกกับสิ่งที่ทำเสมอ
10. อย่าทิ้งความฝัน
![]() |
การแบ่งปัน-เวิร์คช้อปการทำกาแฟ |
กับคนอายุ30
1. ทบทวนความฝันเสมอๆ
2. คำนึงถึงต้นทุนชีวิตเสมอๆ
3. วางแผนและทำให้ชัดเจน
4. มีเพื่อนที่ไว้ใจให้ได้อย่างน้อยก็คู่ชีวิต
5. พลาดได้ แต่อย่าซ้ำที่เดิม
.
6. ใช้เวลากับสิ่งที่จะพาไปข้างหน้าเท่านั้น
7. ความสุขควรละเอียดอ่อนมากขึ้น
8. ปัญหามีมาเสมอๆ รับมืออย่างมีสติ
9. อย่าให้เรื่องเล็กๆ ทำให้เป้าหมายใหญ่สะเทือน
10. อย่าใสใจกับคนที่อคติต่อเรามากๆ มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา
.
+ มีวิธีสร้างสมดุลย์ยังไง ระหว่างการทำงานเพื่อเลี้ยงชีวิต กับการทำงานเพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาน?
มองเป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องที่ทำคือเรื่องที่ชอบ พยายามทำให้มันได้เงิน และเลี้ยงตัวเราเองให้ได้ แต่ระหว่างทางมันมีเรื่องที่ทำแล้วไม่ได้เงิน มีแต่เสียเงิน แต่มันได้อย่างอื่น อันนี้ก็จำเป็นต้องทำ ถือเป็นประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ ซึ่งมันอาจจะเป็นสิ่งที่เราได้ใช้ในอนาคต
วันนี้เราอาจจะทำไปแบบเสียเวลาเสียงบประมาณ แต่มันบำรุงจิตใจเรา ทำแล้วมีประโยชน์บ้าง มีคนได้บ้าง อันนี้ก็ยอมรับได้ เราก็สุขด้วย แต่ไม่ใช้ทำแบบขัดแย้งกับความเชื่อ หรือส่งเสริมด้านตรงข้าม มันดูเสียดายทั้งเวลา และแรงที่ทำ
.
เพราะฉะนั้น ถ้ามันมีทิศทางที่พุ่งไปได้ อยู่ในเส้นทาง ทำแล้วไม่เดือดร้อน เป็นประสบการณ์ก็ทำ ใจเราจะเป็นตัวตัดสิน
"แสง จังหวะ บางทีมันธรรมดามาก กับสถานที่นึง แต่พอแสงมาพอดี ภาพมันมีชีวิตขึ้นมาเลย"+ จากวันที่พบร้านชาและขนมปังที่โพคารา แล้วพบความสุขของการทำงานที่ไม่ต้องทำงาน ชีวิตทุกวันนี้เดินทางมาถึงจุดนั้นรึยัง?
มาถึงนานแล้วครับ ตั้งแต่ร้านที่สังขละปีที่สอง ตอนนั้นเหมือนไม่ต้องกังวลเรื่องการหาเงิน แม้มันไม่ได้มาก แต่เราก็ใช้จ่ายระมัดระวัง ไม่เกินรายรับ
.
คราวนี้พอมาทำร้านเชียงใหม่ ช่วงแรกก็ใจหายเหมือนกัน แต่พอตั้งหลักใหม่ ไม่กดดันตัวเอง ทำให้เต็มที่ สร้างเงื่อนไขที่ดี ผลลัพธ์มันย่อมตามมาดี ก็ทำไป มีความสุขกับมันในแต่ละวัน แล้วมันก็พอที่จะพึ่งตัวเองได้ มันก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย
.
แต่มันเลี้ยงร้าน เลี้ยงคนได้ เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันคืองาน สิ่งที่ทำคือเรื่องของการท้าทายสิ่งใหม่ๆ ไม่เคยรู้สึกว่า จะต้องไปเปิดร้าน หรือเฝ้าร้าน อยากไปอยากทำกาแฟ อยากสนุกแบบนั้น
.
ตอนนี้ยิ่งมีน้องๆ มาช่วยก็ขยับไปทำอย่างอื่นได้มากขึ้น ไปเรียนรู้มากขึ้น มีความสุขจากการใช้ชีวิตแบบนี้ สุขโดยไม่ต้องไปหามาเติม ดีนะครับ ไม่รู้สึกเบื่อ หรือไม่มีความสุขจากการทำงาน
"ชีวิตคล้ายเอสเพรสโซ่ หลังความขมคือความหอมหวาน"แล้วถ้าเป็นแบบที่เบื่อหรือเหนื่อยจากงาน แล้วต้องไปหาความสุข ไปเที่ยวโน้นนี่นั้น กลับบ้านมา มันก็เหนื่อยอยู่ดี ไปทำงานอีกวันก็เบื่ออยู่ดี มันเป็นเรื่องที่ไม่ยั่งยืน ไปๆ มาๆ เราก็วนซ้ำที่เดิม
.
ทุกวันนี้ต้องแยกแยะเรื่องความสุขกับความสบาย เราอาจจะไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกสบาย แต่เรามีความสุขจากการได้ทำงานของเรา มันได้มาแล้ว ไม่ต้องไปดิ้นรนหา ความสบายก็อาจไม่จำเป็น
.
ถ้าเราบอกว่ามันจำเป็น มันก็ทุกข์ ความสบายมันขาดได้ เราปรับทัศนคติตัวเองได้ เราก็ไม่ต้องทุกข์ว่าเราไม่มีนั่นนี่ เราก็สุขกับเรื่องงาน เรื่องง่ายๆ รอบๆ ตัว มันไม่ซับซ้อน
.
+ 10 ปีข้างหน้า มีเป้าหมายชีวิตยังไง จะก้าวไปทางไหน?
ไม่รู้จะถึงอีกสิบปีรึป่าวนะครับ 55 แต่ทุกวันเหมือนบอกตัวเองว่า ทำให้ปัจจุบันมันโอเค อนาคตมันคือผล เราใส่ให้เต็มที่ก่อนวันนี้ คิดว่าแรงกำลังจะน้อยลง ถ้าเป็นงานก็จะแคบลง เหลือแต่ที่อยากทำจริงๆ
.
สิบปีอาจจะนานเกินไป ถ้าห้าปีนี้ผ่านไปได้ น่าจะเห็นชัดเจนขึ้น ยังถือว่าตอบยากจริงๆ เหมือนมันยังมีเรื่องอยากทำให้ชัดเจน ยังไม่สุด เรื่องกาแฟ เรื่องอาหาร ยังสนุกอยู่ เดินต่อไปเรื่อยๆก่อน อยากรู้เหมือนกันว่าจะสุดตรงไหน
.
แต่จริงๆ ก็เหมือนมันโอเคนะแต่ละก้าว จะหยุดและทำแค่นี้ก็ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เราอีก ถ้างั้นก็ไปต่อเรื่อยๆ เป็นตัวของตัวเองแบบนี้
"อยากทำเรื่องอาหาร ที่หันมาสนใจวัตถุดิบท้องถิ่น ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่มันเป็นอาหารเพื่อท้องถิ่นส่วนรวม"+ ถ้าเหลือเวลาชีวิตอีกเพียงหนึ่งปี คุณจะทำอะไรอย่างไรกับเวลาที่เหลือ?
ให้สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนอื่น แชร์ความคิด ไอเดียเท่าที่จะมีอยู่กับคนรอบข้างหรือคนที่สนใจในมุมมองเรา คงเป็นแค่เรื่องการแชร์ประการณ์ต่างๆแค่นั้น
.
+ มีอะไรที่อยากจะพูดกับโลกใบนี้อีกมั้ย?
ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้ได้ อย่าโทษคนอื่น อย่าคาดหวังคนอื่น เราเรียกร้องคนอื่นไม่ได้ แต่เราเรียกร้องตัวเองได้แค่นั้น เรียนรู้ พึ่งพาตัวเองให้ได้ เราเองก็เช่นกัน ใช้ชีวิตตามศักยภาพที่มี ไม่คาดหวังสูง
...
link 1 : facebook Karueporn Satrabhaya
link 2 : facebook Graph Cafe
0 comments: